เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๘ ก.ย. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้เรามาทำบุญนะ บุญกุศลเห็นไหม คนเกิดมาด้วยกัน เวลาคนเกิดๆ มาด้วยกัน ตายไปด้วยกัน แต่เกิดมาแล้วได้มนุษย์สมบัติขึ้นมา เราจะรักษาอะไร เราจะแสวงหาอะไร

ถ้าแสวงหาโลก แสวงหาเงิน ก็จะได้เงิน.. แสวงหาความทุกข์ แสวงหาความสุข มันก็จะได้ความทุกข์ ความสุข.. แสวงหาธรรมมันพ้นจากสุขและทุกข์นะ

สุขและทุกข์เป็นอย่างไร สุขให้เราติดไง สุขให้เราพอใจ เราอยากได้แต่ความสุขกัน ที่เราปรารถนา เราอยากวิ่งหาความสุข แล้วเราจะไม่ได้ความสุขเลย เพราะตัณหาความทะยานอยากมันไม่เคยพอ

มันจะคิดว่าอย่างนั้นจะเป็นสุข.. อย่างนั้นจะเป็นสุข.. มันก็วิ่งแสวงหาไป แต่ถ้ามันหยุดนิ่งนะ มันจะหยุด พอมันหยุดนิ่งมันจะพอได้ ความสุขมันเกิดจากตรงนี้ เราแสวงหาอะไรจะได้สิ่งนั้น ฉะนั้นถ้าเราแสวงหาเห็นไหม แสวงหาธรรม ! แสวงหาธรรม ใครจะเป็นผู้ชี้นำล่ะ

เราถึงว่า หลวงตาท่านพูดเห็นไหม ท่านพยายามช่วยเหลือโลก หมื่นกว่าล้านนะ เป็นหมื่นๆ ล้าน ทองคำ ๑๑ ตัน ๑๐,๐๐๐ กว่ากิโล เงินอีกไม่รู้กี่หมื่นล้าน ท่านบอกว่าอันนี้เป็นเรื่องโลก แต่เรื่องธรรมะของท่านสำคัญกว่า เรื่องธรรมะของท่าน เราไปคิดเปลี่ยนแปลงความคิดของคนไง

ธรรมะนะมันสะเทือนใจมาก เราคิดของเราอย่างนี้ เราคิดว่าเราถูก แต่พอกาลเวลาผ่านไป ความคิดเราไม่ถูกแล้ว ถ้าความคิดเราไม่ถูกเพราะอะไร เพราะกาลเวลา มันเป็นสิ่งเป็นไปโดยวัย เป็นไปโดยวุฒิภาวะของจิต

แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์นะ ท่านจะคอยชี้นำเรา หนึ่งไม่ต้องเสียเวลาเลย เราไม่ต้องไปลองผิดลองถูก ไม่ต้องไปทดสอบอย่างนั้นนะ แต่ ! แต่กิเลสเราไม่เชื่อหรอก.. กิเลสเราไม่เชื่อหรอก..

“อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” นี่สำคัญมากเลย ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เพราะตนต้องรู้เองไง ถ้าเราเจ็บ เราปวดเอง เรารู้ว่า เราเจ็บ เราปวดเอง แต่เราไม่รู้สาเหตุของความเจ็บความปวดนั้น เราเจ็บเราปวดเรารู้นะ แต่เราไม่รู้สาเหตุของมันนะ แล้วหามันไม่เจอ

ทุกข์นี้มาจากไหน ความขัดข้องใจนี้มันมาจากไหน มันก็อยู่กลางอกนี่ พยายามแสวงหามัน พยายามจะแก้ไขมันนะ โอ๊ย.. อย่างนั้นจะดี อย่างนี้จะดี แล้วมันจริงดีไหมล่ะ

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เสียสละ ให้ทำทาน เพราะอะไร เพราะมันเปิดไง ความที่มันเจ็บ มันปวด มันตระหนี่ มันพยายามจะปกป้องตัวมันเอง แต่ถ้าเราเสียสละมันเปิด.. มันเปิดออกเห็นไหม

อากาศถ้ามันเปิด มันมีการถ่ายเท ความถ่ายเทลงไป ความเสียสละเป็นวัตถุเห็นไหม มันจะยึดของมันไว้ มันยังไม่อยากจะเสียสละ ความไม่อยากเสียสละ มันยึดของมันไว้เห็นไหม

ถ้ามันเปิดออก.. เปิดออก.. เปิดออก ให้มันไหลเวียน การไหลเวียนเห็นไหม ถ้าการไหลเวียนของมันเพื่อโลกนะ การทำบุญกุศลเห็นไหม ปฏิคาหก ! ผู้ให้ให้ด้วยความบริสุทธิ์ ขณะที่ให้เจตนาให้ ให้แล้วตั้งใจให้ ผู้รับด้วยความบริสุทธิ์ ถ้าความบริสุทธิ์เป็นการเปิดถ่ายเทสิ่งที่ดี แต่การเปิดนี้เป็นเทคนิคของโลกเขาเห็นไหม ทำบุญแล้วต้องเป็นอย่างนั้น.. ทำบุญต้องเป็นอย่างนั้น.. เป็นความไปปรารถนาไง

ทำบุญขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สะอาดบริสุทธิ์ที่สุด คือการทิ้งเหว การโยนทิ้งเหว มันหายไปเลยเห็นไหม การทิ้งเหวยิ่งสะอาดบริสุทธิ์ใช่ไหม แต่เราทำบุญแล้วนะ ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น.. ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น เพราะอะไร เพราะการถ่ายเทนี่มันต่อรอง กิเลสมันต่อรอง การเสียสละของคนเราก็ต่อรอง

แต่ต่อเมื่อเราเสียสละโดยเป็นธรรมได้ เราต้องเห็นจริง เราต้องเชื่อมั่นเรานะ ดูสิเวลาครูบาอาจารย์ของเรานั่งสละตายกัน นั่งทั้งวันทั้งคืน มันเสียสละขนาดไหน มันเสียสละแม้แต่ชีวิตนะ เวลาภาวนาไปมันจะมีกิเลส มันจะบอกเลยนะ

..นั่งภาวนาก็ไม่ได้ เดี๋ยวเจ็บไข้ได้ป่วยนะ ยิ่งทรมานตนนะ เดี๋ยวมันจะตายนะ ..

ความตาย ! มันเอาคำว่าตายมาหลอกเรานะ เราก็ยอมแพ้มันแล้ว ถ้ามันบอกว่าเราจะตายนะ ใครเป็นคนรู้ว่าตาย เวลาเรากำหนดมรณานุสติ กำหนดถึงความตาย ถ้าคนกำหนดถึงความตายนะ ต้องตาย ! ต้องตาย ! ต้องตาย ! มันเป็น ๒ อย่าง

อย่างหนึ่งถ้าเป็นธรรมนะ มันจะสลดสังเวช.. มันจะสลดสังเวช สิ่งที่เราแสวงหากันอยู่นี่ แสวงหามาเพื่อใคร ก็หามาเพื่อวงศ์ตระกูล หามาเพื่อครอบครัว มันก็เป็นสมบัติของวงศ์ตระกูลของเรา แล้วเราได้อะไรขึ้นมา

ถ้าเราตายไป สิ่งนี้มันก็อยู่กับโลกเขาเห็นไหม ถ้ามันเป็นธรรม เวลากำหนดมรณานุสติ มันจะสลด มันจะสังเวช เป็นธรรม.. เป็นธรรมสังเวช มันให้หาว่า แล้วสมบัติของเราล่ะ แล้วเป็นบุญกุศลของเราล่ะ แล้วสิ่งที่เป็นสมบัติของเราล่ะ

ถ้าจิตสงบ มันรู้จักความสงบ จิตมันสัมผัส ลมพัดมาเรามีความร่มเย็นเห็นไหม จิตมันไม่เคยสัมผัสอะไรเลย มันสัมผัสแต่ความคิด มันสัมผัสแต่สิ่งที่เศร้าหมอง มันก็ทุกข์ของมันอยู่อย่างนั้น

ถ้ามันสงบ มันสัมผัสสมาธิ มันสัมผัสธรรมารมณ์ มันสัมผัสธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันรู้ของมัน มันสดชื่นของมัน อื่ม.. สมบัติเราเป็นอย่างนี้ เพราะสมบัติอันนี้นะ เราไปพูดให้ใครฟัง ใครก็ไม่รับรู้ไปกับเรา เราไปพูดให้ใครฟัง ใครก็ไม่รับรู้ไปกับเรา เขาจะติติงเรา มันก็ไม่ใช่เรื่องของเขา เพราะเป็นความจริงของเรา

สิ่งที่เป็นธรรม ถ้าใจไปสัมผัส เพราะอะไร เพราะการกระทำ มรณานุสติ ถ้ามันเป็นธรรม แต่ถ้ามรณานุสติ ถ้าเป็นโลกนะ พุทโธ พุทโธ ขาอ่อนเลย... พอมันจะเป็นจะตายเห็นไหม ธรรมนี่.. การบริกรรม การตั้งสติ อยู่ที่วุฒิภาวะ บางคนคิดอย่างนี้ดี บางคนใช้ประโยชน์อย่างนี้ดี

เหมือนกับอาหาร บางคนชอบอาหารอย่างนี้ บางคนชอบอาหารอย่างนี้ ถ้ามันตรงกับจริตนะ มันจะเป็นธรรมสังเวช มันสลด มันสังเวชนะ ความว่าสลดสังเวช เหมือนเรารู้สึกตัวของเรา เราตั้งสติของเรา เราจะเป็นคนคิด เราเป็นคนบริหารจัดการได้ชัดเจนมาก

ถ้าเราสลดสังเวช มันเข้ามาถึงตัวเราเห็นไหม ตัวเราจิตของเรา มันจะมีประโยชน์อะไร เห็นไหมมันเข้ามาที่ตัว แต่ถ้าเราคิดแบบโลก มันคิดออกไปหมดเลย มันมองข้ามเราไป เวลาคนทุกข์คนยากมานะ เขาจะบอกว่า

“เขาทุกข์ เขายาก อย่างนั้นๆ”

เราบอกว่า “ทุกข์ยากขนาดไหนนะ ชีวิตยังมีอยู่ มันแก้ไขได้”

มนุษย์สมบัติ คือชีวิตของเราสำคัญที่สุด เพราะมีชีวิต ! มีเราเป็นเจ้าของ สมบัติที่หามาทั้งหมดเลยเป็นของเรา ! ถ้าไม่มีเราเป็นเจ้าของ สมบัติที่หามาทั้งหมดเป็นของใคร เห็นไหม เพราะมีเรา เพราะมีชีวิต มันจะทุกข์ มันจะยาก ยังมีชีวิตอยู่ เราแก้ไขของเรา เราอย่าไปเห็นทรัพย์สมบัติจะมีค่ากว่าชีวิตของเรา

ชีวิตของเรามีค่ามากนะ ถ้าไม่มีเราสมบัตินี้จะเป็นของใคร เพราะมีเราใช่ไหม สมบัติถึงเป็นของเรา แล้วสมบัติอย่างนี้เป็นสมบัติสาธารณะ เพราะมันเป็นแร่ธาตุ มันเป็นสมบัติของโลก บุญ-กุศล บาป-อกุศล มันจะแนบไปกับใจ ความลับไม่มีในโลก ! ความลับไม่มีในโลก ! ใครทำสิ่งใดไว้สิ่งนั้นจะอยู่กับเรา เห็นไหมบุญกุศลมันจะติดไปกับใจ แล้วถ้าเราภาวนา เราทำบุญกุศลเห็นไหม เราหาอะไร

เกิดมาเป็นมนุษย์มีค่าเท่ากันนะ เกิดมาด้วยกัน แล้วทุกคนเกิดมาแล้วก็ใช้ชีวิตไป แล้วก็จะตายเหมือนกัน นี่มีค่าเท่ากัน แต่ ! แต่แสวงหาอะไร แสวงหาเรา ใช่ ! ปัจจัยเครื่องอาศัย แม้แต่พระยังต้องอาศัยเลย

เวลาพระบวชเห็นไหม บริขาร ๘ บาตรนี่คืออาหาร ธมกรกคือกระบอกกรองน้ำ จีวรเป็นเครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรคด้วยน้ำดองมูตรเน่า ปัจจัย ๔ ในเมื่อชีวิตมันต้องอาศัยปัจจัย ๔ เราก็อาศัยมัน เราอาศัยมัน เราแสวงหามัน

ถ้าแค่พออาศัย เราจะไม่วิ่งเต้นเกินกว่านั้นไป แต่ถ้ามันมีมาโดยบุญกุศล เวลาเราทำธุรกิจการค้ากัน ทำไมบางทีจังหวะโอกาสมันพอดีไปหมดเลย บางทีจังหวะโอกาสเราคิดว่ามันจะพอดี มันไม่พอดี อำนาจวาสนาอยู่ตรงนี้

ถ้าอำนาจวาสนา เราคิดแล้วเราใช้การบริหารจัดการ พอดีกับสังคม ตลาดจะพอดีกันไปหมดเลย บางทีเราคิดฉลาดมาก เราคิดได้ดีมาก เราคิดก่อนสังคม เราทำอะไรไปนะ เราทำไปมันยังไม่ถึงเวลาของเรา อำนาจวาสนามันอยู่ตรงนี้ ความสมดุลความพอดี มันพอดีไปหมดเลย

แต่ถ้ามันไม่พอดีเห็นไหม เราทำของเรา ทำดี ! ทำดีเพื่อดี.. ทำดีเพื่อดี ต้องทำดี ! คนเราต้องทำดี ถ้าบอกว่าปล่อยวาง.. ปล่อยวาง.. แล้วพระมาบิณฑบาตทำไม พระนั่งภาวนาทำไม

ดูหลวงตาสิ เป็นพระอรหันต์ ท่านเดินจงกรมทำไม วิหารธรรมนะ คนที่เป็นพระอรหันต์แล้วนี่ ทำงานเสร็จกิจแล้วนี่ ไม่ควรทำอะไรเลย ควรนอนสบายๆ ทำไมท่านไม่นอนสบายๆ ถ้านอนสบายๆ นะ ลุกก็โอย.. นั่งก็โอย.. ขยับก็โอย.. เพราะร่างกายมันไม่ได้บริหารไง

แต่ถ้าเดินจงกรมนะ อยู่กับวิหารธรรม ลุกก็ได้.. นั่งก็ได้ เพราะอะไร เพราะร่างกายนี่ จิตใจเป็นเจ้านาย มันต้องบริหารร่างกายนี้ แล้วถ้าร่างกายมันเหนื่อยหน่าย มันพิการ หัวใจจะบริหารได้อย่างไร หัวใจมันอยากไปนะ หัวใจมันอยากทำนะ แต่ร่างกายไม่ได้เห็นด้วย

แต่ถ้ามีวิหารธรรม เราเดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนาเห็นไหม ร่างกายมันบริหารไป มันไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่โอดโอยไง คนที่ประพฤติปฏิบัตินะ นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อปัจจัยเครื่องอาศัย เราต้องแสวงหา เราต้องทำ แต่หัวใจเรามีสติ เรามีสมาธิ เรามีปัญญา เราควบคุม มันเป็นความสมดุลไง เป็นความพอดี เป็นความสมดุลนะ

มนุษย์ก็เป็นอย่างนี้ เราหามาแล้ว แล้วหาทรัพย์จากโลก หาทรัพย์จากภายใน ทรัพย์จากภายนอก ทรัพย์จากภายในนะ.. ทรัพย์จากภายนอกเห็นไหม ตัวเลขในบัญชีเป็นทรัพย์จากภายนอก แก้วแหวนเงินทองทรัพย์เป็นทรัพย์จากภายนอก

ทรัพย์จากภายในคือความอุ่นใจ ! อิ่มใจ ! อุ่นใจ ! ไปไหนรื่นเริงอาจหาญ เข้าสังคมไหนก็ได้ มือถ้าไม่มีแผล ยาพิษอะไรก็เข้าไปจัดการไม่ได้ ถ้ามือมีแผลนะ แม้แต่น้ำเกลือมันก็ไม่กล้าเข้าไปจับแล้ว เพราะมันจะแสบ

ใจของเราก็เหมือนกัน ถ้ามันมีบุญกุศล มือมันไม่มีแผล มันอุ่นใจ มันสุขใจ สมบัติของโลก สมบัติของธรรม เราเกิดมาเห็นไหม ธรรมะสอนอย่างนี้ ถ้าธรรมะสอนอย่างนี้ เราย้อนกลับมา ธรรมะไม่ได้สอนให้คนดูดาย ธรรมะไม่ได้สอนให้คนดิ้นรน

พระปฏิบัติเรานี่นะ ฉันเสร็จแล้วนั่งสมาธิภาวนา ต่างคนต่างแสวงหาเพราะอะไร ถ้าไม่ทำนะ เป็นดินพอกหางหมู ความคิดมันเหยียบใจเรา นู้นก็ไม่ดี.. นี่ก็ไม่ดี

ถ้าเข้าทางจงกรม แล้วใช้สติใคร่ครวญมัน อะไรมันไม่ดี อะไรมันดี แสวงหาเห็นไหม นี่ทรัพย์จากภายนอก ทรัพย์จากภายใน

คนจะหาทรัพย์จากภายในนะ ต้องมีความหมั่นเพียรยิ่งกว่าโลกหลายเท่า โลกบอกว่า พระไม่ทำอะไรเลย ฉันแล้วก็อยู่ว่างๆ .. ว่างๆ นั่นล่ะกิเลสมันเหยียบหัวนะ ดินพอกหางหมู คือความคิดมันจะใหญ่ขึ้นมา.. ใหญ่ขึ้นมา ให้ที่ว่างๆ ว่างๆ แต่ร่างกาย แต่หัวใจทุกข์ยากมาก !

แต่ของเราร่างกายหมุนติ้วๆๆ เลย ทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ แล้วร่างกายก็ไม่ว่าง หัวใจก็ไม่ว่าง ร่างกายมันว่าง ว่างที่ไหน ว่างเพราะเราคิด แต่พระไม่ได้ว่าง เพราะเวลาเดินจงกรม เดินกลับไปกลับมาเห็นไหม ให้มันออกกำลังกาย ให้มันเดินจงกรมขึ้นมา แล้วค้นหาจิตของเรา

ไม่ได้ว่างหรอก..ถ้าพระปฏิบัติไม่ได้ว่างเลย ทุกวินาทีหัวใจคิดเหมือนกัน ความคิด ถ้ามันคิดไม่ดี มันจะเหยียบย่ำใจ ต้องคุมมันให้ได้ ถึงไม่ได้ว่าง เพราะความคิดมันว่างไม่เป็น แต่เราไปมองกันที่ร่างกายว่าว่างไง

ความคิดคนมันว่างเป็นไหม ถ้าคนคิดว่าว่างไม่เป็น แล้วพระนี่จะมาควบคุมมัน ยิ่งต้องรักษามากกว่าโยมอีก ถึงต้องมีสติ มีมหาสติ มีปัญญา มีมหาปัญญา ควบคุมใจให้ได้ ถ้าคนรู้จักทรัพย์จากภายใน วิธีการแสวงหาทรัพย์จากภายใน ด้วยการทำสมถะ วิปัสสนา จะรู้เลยว่าคนที่เดินจงกรม คนที่แสวงหา งานมันจะหนักหนาสาหัสสากรรจ์แค่ไหน งานเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเราสาหัสสากรรจ์มาก

แต่ ! แต่ก็ต้องทำ เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์เหมือนกันใช่ไหม แล้วจะหาอะไร หาโลกหรือหาธรรม โลกเกิดมานะ เราเกิดมาแล้ว หาอะไรก็ได้อันนั้น หาเรื่องโลกก็ได้โลก หาเรื่องธรรมก็ได้ธรรม มีสติสัมปชัญญะ มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ แล้วเราจะประสบความสำเร็จ เอวัง